รีวิวทริปฮ่องกง มาเก๊า การเดินทางระหว่างฮ่องกง มาเก๊า หรือ จาก มาเก๊า ไป ฮ่องกง

วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2555

ยินดีต้อนรับทุกท่านที่เข้ามาอ่านบล็อกนำเที่ยว ฮ่องกง - มาเก๊าครับ

สวัสดีครับ ทุกท่านที่เข้ามาอ่านบล็อกนี้ ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมชื่อสมชายครับ เพิ่งมีโอกาสไปเที่ยวต่างประเทศครับ ก่อนไปผมก็หาข้อมูลต่างๆทางอินเตอร์เน็ท แล้วก็วิธีไปสถานที่ต่างๆ ซึ่งค่อนข้างยุ่งยากพอสมควรสำหรับผมเพราะผมไม่เคยไปต่างประเทศ


ก่อนไปผมก็ได้จองโรงแรมไว้กับอโกด้าครับ ราคาค่อนข้างถูก และ มีโรงแรมหลายระดับราคาให้เลือกครับ ส่วนผมไม่ต้องถามว่าใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการเลือกโรงแรม เพราะผมจะบอกเดี๋ยวนี้ครับว่า เรื่องของราคา 555+++ เพราะว่าโรงแรมที่ผมเลือกราคาต่ำสุดแล้วครับในบรรดาทุกโรงแรมที่มีในฮ่องกงและมาเก๊า ซึ่งทั้งสองโรงแรมที่ผมเลือก ผมไม่ผิดหวังเลยครับ ห้องดี สะอาดสะอ้าน ไปมาสถานที่ต่างๆได้สะดวกครับ ที่มาเก๊าผมเลือกโรงแรม Ole London ครับ ตั้งอยู่ในเขตมาเก๊า ไปมาสะดวก ด้วยรถบัสฟรีของเดอะเวเนเชี่ยนครับ (ดูหัวข้อวิธีการไปโรงแรมจากสนามบินนะครับ ) ส่วนที่ฮ่องกงผมเลือกโรงแรม Oriental Lander อยู่แถว Mongkok เดินทางสะดวกด้วย MTR สถานี Prince Edward เข้าออกประตู C2 นะครับ (ดูวิธีการไปโรงแรม เริ่มตั้งแต่มาเก๊าได้ที่หัวข้อนี้ครับ) เนื่องจากผมเพิ่งหัดเขียนบล็อกเป็นครั้งแรก ตอนแรกไม่คิดว่าจะเขียนก็เลยถ่ายมาแต่รูปตัวเอง จึงอาจจะทำให้ท่านที่เข้ามาอ่านรำคาญสายตาได้ ก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ถ้ารำคาญสายตาจริงๆก็รบกวนอ่านเฉพาะบทความไม่ต้องดูรูปผมนะครับ ขอบคุณสำหรับความเมตตาในครั้งนี้ครับ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า บทความของบล็อกนี้คงเป็นประโยชน์ให้ผู่ที่เข้ามาอ่านได้ไม่มากก็น้อยนะครับ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเดินทาง สามารถถามได้ที่เมล์ akeadi@gmail.com นะครับยินดีตอบให้ข้อมูลครับผม


TIP : ผมสังเกตว่าถ้าเราจองตั๋วเครื่องบินแอร์เอเชีย ไปกลับระหว่างกรุงเทพฯ-ฮ่องกง กับ กรุงเทพฯ-มาเก๊า ผมว่ากรุงเทพฯ - มาเก๊า ราคาตั๋วถูกกว่ากันเยอะครับ ลืมบอกไปครับว่าถ้าใครยังไม่มีบัตรเครดิต และอยากลองสมัครดูจะได้จองตั๋วแอร์เอเชีย กับจองโรงแรมได้ก็คลิกตรงลิงค์ตรงนี้นะครับ แล้วก็เลือกหัวข้อบัตรเครดิต แล้วก็เลือกบัตรต่างๆตามที่ท่านชอบ ส่วนผมเลือก บัตรเครดิตร่วมแอร์เอเชีย -กสิกรไทยครับ ผมว่าอนุมัติง่ายดี ปัจจุบันผมใช้บัตรนี้เป็นหลักครับ
วิธีการอ่านบล็อกนี้ตั้งแต่เริ่มต้นเขียนให้ดูที่เมนูด้านขวานะครับในรายการบทความจะเริ่มตั้งแต่ วิธีการไปโรงแรม Ole London จากสนามบินมาเก๊าครับ อ่านไล่ขึ้นไปตามหัวข้อข้างบนเรื่อยๆนะครับ เพราะบล็อกนี้ ข้อความที่เขียนก่อนจะไปปรากฏอยู่ล่างสุดครับ แต่ผมก็ได้ทำลิงค์สำหรับอ่านบทความหัวข้อถัดไปให้แล้วครับในแต่ละบทความย่อย ซึ่งทุกท่านสามารถอ่านได้ตามลำดับเรื่อยๆครับ
หมายเหตุ ทริปนี้เราไม่ได้ไปเทีี่ยวสวนสนุกโอเชี่ยนปาร์คนะครับ ถ้าใครจะไปโอเชี่ยนปาร์คด้วยกรุณาชมรายละเอียดอีกบล็อกหนึ่งตรงลิงค์นี้เลยนะครับ

อ่านบทความถัดไป เดินทางถึงมาเก๊า วิธีเดินทางไปโรงแรม Ole London


เดินทางถึงมาเก๊า วิธีเดินทางไปโรงแรม Ole London

สวัสดีครับทุกคน ทริปนี้ผมไปเที่ยวมาเก๊ากับฮ่องกงนะครับ บินประหยัดสุดๆกับแอร์เอเชียครับ จากกรุงเทพ ไปกลับ มาเก๊า แค่คนละ 1800บาทเองครับ แต่ผมจองไว้ข้ามปีที่แล้ว ที่มาเก๊าผมจองโรงแรมกับเว็บอโกด้าชื่อโรงแรม โอเล่ ลอนดอน (Ole London) ไม่รู้อ่านอย่างนี้หรือเปล่านะครับ มาถึงสนามบินมาเก๊า ผ่าน ต.ม. เรียบร้อยก็ไปโรงแรมเลยครับ ผมมาถึงกลางคืน ไฟลท์ดีเลย์ก็เลยต้องนั่งแท็กซี่ไป 120 MOP แต่ที่นี่เขารับเงินฮ่องกง ก็เลยไม่ต้องแลกเงินมาเก๊าก็ได้นะครับ ถ้ามาถึงตอนกลางวันให้ขึ้นรถฟรีของเดอะเวเนเชี่ยนได้เลยครับ จอดอยู่ด้านนอกสนามบิน คันสีน้ำเงิน เขียนด้านข้างว่า The Venetian แล้วรถบัสคันนี้พาเรามุ่งหน้าไปยังเดอะเวเนเชี่ยนใช้เวลาไม่ถึง 5 นาทีก็ถึงเลยครับ รถบัสจะพาเราไปจอดด้านหน้า แล้วเราก็ลงครับ เข้าไปข้างใน ได้เลย เข้ามาข้างในเดอะเวเนเชี่ยนแล้วก็ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกหน่อยนะครับ

หรูอลังการมากๆ (ต้องขออภัยนะครับ ถ้าหากทริปนี้มีรูปผมเยอะหน่อย เพราะว่าเน้นถ่ายคนกันจริงๆครับ ไม่ค่อยได้ถ่ายสำหรับรีวิว โดยตรง ทนๆดูเอาหน่อยนะครับ)


ถ้ายังไม่รีบไปโรงแรมก็ขึ้นไปชั้น 3 นะครับ ไปดูเมืองเวนสจำลอง หรือจะนั่งเรือกอนโดล่าก็ได้ครับ (แต่บอกไว้ก่อนว่าแพง ประมาณคนละ 700 บาท แน่ะครับ แล้วก็นั่งแป๊บเดียวเอง) คนพายเรือกอนโดล่าจะร้องเพลงให้คนที่นั่งในเรือ(และคนที่ยืนอยู่ด้านบนเช่นพวกเรา) ได้ฟังกัน เพลงเพราะ เสียงดังกังวาลมาก แต่ฟังไม่ออกเลย ไม่รู้ร้องเพลงภาษาอะไรของเขา พี่สาวคนด้านล่างนี้ก็ร้องเพลงเพราะเหลือเกิน เหมือนร้องโอเปร่าเลยครับ


หลังจากเที่ยวเวนิสจำลองที่ชั้นสามแล้วก็ลงมาหาทางไปโรงแรมครับ ให้หาป้ายที่บอกว่า Hotel West Lobby เดินไปเรื่อยๆจะเจอทางออกด้านหลัง และจะมีรถบัสของเดอะเวเนเชี่ยนรับส่งลูกค้าไปยังที่ต่างๆ เช่น ท่าเรือฮ่องกงมาเก๊า แล้วก็อะไรก็ไม่รู้หลายที่มาก ให้หารถบัสที่จะไป Yoet Tung Pier ให้ขึ้นคันนี้เลยนะครับ (ถ้าเดินออมาจากHotel West Lobby ของ เดอะเวเนเชี่ยน คิวรถสายนี้จะอยู่ด้านขวามือสุดครับผม)


กำลังรอรถอยู่ครับ รถจะออกเป็นเวลาด้วยครับ ประมาณ 30 นาทีต่อคัน เพราะสายนี้ดูๆไปคนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ครับ ระหว่างที่รอรถออกอยู่ก็มายืนถ่ายรูปแก้เซ็งกันก่อนนะครับ


หลังจากรถออกก็นั่งไปประมาณ 20 นาที รถจะผ่านวัดอาม่าอยู่ด้านขวามือ จากวัดอาม่าก็จะเลยไปประมาณ 1 กิโลเมตรก็จะถึงท่าเรือที่รถคันนี้ไปจอดซึ่งอยู่บริเวณเดียวกับโรงแรมมาเก๊า มาสเตอร์ครับ


พอรถจอดก็มองย้อนกลับไปด้านหลังนะครับ จะเห็นอาคารสีเหลืองอยู่อีกฟากถนนนะครับ ให้เดินข้ามถนนไปด้านข้างอาคารนี้จะมีถนนอยู่นะครับ


ให้สังเกตอาคารสีเหลืองกับตู้ไปรษณีย์สีแดงอันใหญ่นี้นะครับ เดินเข้าไปในนี้จะผ่านโรงแรมเบสเวสเทิร์น ซัน ซัน ก่อนครับ แล้วถึงจะเป็น โรงแรม โอเล่ ลอนดอน ของเรา ถึงแล้วก็เข้าเช็คอินเลยนะครับ (เวลาเช็คอิน จะต้องจ่าย Deposit ห้องละ 200 MOP$ หรือให้บัตรเครดิตเขาก็ได้ครับ ซึ่งเขาจะคืนเงินเราตอนเช็คเอาท์ ครับ)


ด้านหน้าโรงแรมครับ


ห้องนอนครับ



ห้องน้ำครับ เล็กไปหน่อย แต่ก็โอเค พื้นที่เขาจำกัดครับ ถ้าจะจองโรงแรม Ole London ก็คลิกตรงนี้ได้เลยนะครับ โรงแรมค่อนข้างโอเค สะดวกเวลาเดินทางไปโน่นไปนี้ เสียอย่างเดียวครับ เซเว่น แถวๆนั้นไม่มี ต้องซื้อมาจากข้างนอกนะครับ แต่โรงแรมจะมีน้ำให้ ห้องละสองขวดต่อวันครับ แล้วก็มีกาไว้ให้เราต้มน้ำด้วยครับ
ลืมบอกไปครับว่าถ้าจะมาโรงแรมนี้จากท่าเรือเฟอรี่ฮ่องกง-มาเก๊า ให้นั่งรถเมล์สาย 10 หรือ 10A สายเดียวถึงครับ(หรือนั่งรถฟรีของเดอะเวเนเชี่ยนจากท่าเรือไปเดอะเวเนเชี่ยนก่อน แล้วต่อบัสฟรีของเดอะเวเนเชี่ยนสาย Yoet Tung Pier ก็ได้ครับแต่เสียเวลาต่อรถครับ)

เที่ยววัดอาม่ากันดีกว่าครับ

วิธีไปวัดอาม่านั้นง่ายมากๆครับ คือเดิน ครับ ด้วยสองเท้าของเราเองครับ ออกจากโรงแรม Ole London ก็เดินออกมาที่ถนนใหญ่นะครับที่มีตู้ไปรษณีย์สีแดงอยู่ แล้วก็เลี้ยวซ้ายเดินไปทางถนนหลักไปเรื่อยๆ 1 กิโลก็จะถึงวัดอาม่าอยู่ด้านซ้ายมือครับ


เมื่อเดินไปถึงวัดเป็นช่วงที่เขาเชิดสิงโตให้ดูด้วยครับ คนเลยมุงดูกันใหญ่เลย
โชว์เสร็จก็ขอถ่ายรูปด้วยซะเลยครับผม
ก่อนเข้าประตูวัดอาม่าครับผม ไม่ค่อยได้ถ่ายดีเท่าไหร่ครับ คนเยอะเหลือเกิน
วัดอาม่ามีตำนานที่มาคือ มีหยฺงสาวชาวฝูเจี้ยนนามว่า หลิงม่า ได้โดยสารมากับเรือลำเล็กๆของชาวประมงคนหนึ่งเพื่อข้ามฝั่งมายังคาบสมุทรส่วนที่เป็นมาเก๊าในปัจจุบัน ในระหว่างที่เรือล่องอยู่ในทะเล ก็ได้เกิดพายุกระหน่ำรุนแรง เรือหลายลำได้อัปปางลง แต่เรือที่หลิงม่าอาศัยมากลับเดินทางถึงฝั่งได้อย่างปลอดภัย ทันที่ที่นางก้าวขึ้นฝั่งก็เกิดปาฏิหาริย์โดยร่างของนางได้ลอยขึ้นฟ้าแล้วหายลับตาไป สร้างความตกตะลึงให้กับชายชาวประมงที่มาส่ง เรื่องราวได้ถูกกล่าวขานออกไป จนชาวประมงทั้งหลายเชื่อว่านางคือเทพธิดาเจ้าแห่งท้องทะเล มาปรากฏเพื่อคุ้มครองชาวเรือ ตั้งแต่นั้นมาบริเวณที่หลิงม่าขึ้นฝั่งได้รับการเรียกขานว่า "อ่าวของอาม่า" หรือ A Ma Goa ซึ่งได้เพี้ยนเสียงมาเป็น มาเก๊า ในปัจจุบัน ครับผม
เดินขึ้นไปข้างบนเห็นอะไรสวยๆก็ถ่ายครับ อ่านไม่ออกครับ
สุดทางเดินข้างบนก็ลงมาข้างล่างต่อครับ ได้ยินเสียงจุดประทัดดังเป็นระยะๆ สนั่นหวั่นไหวไปหมดเลยครับ
มีมุมหนึ่งด้านขวามือด้านหน้าวัดอาม่า มีซุ้มขายของที่ระลึกพวกหยก แล้วก็เครื่องรางต่างๆครับ รวมทั้งอันที่แขวนสีแดงๆนี้ด้วย ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร คนซื้แล้วเอามาแขวนไว้หน้าวัดครับ

เมื่อยแล้วก็หาที่นั่งพักที่ลานกว้างด้านหน้าวัดอาม่าครับ มีพิพิธภัณฑ์ทางทะเลด้วยครับ แต่ตอนเราไปเขาปิดซ่อมอยู่เลยไม่ได้เข้าชมครับ
อันนี้ถ่ายตรงลายด้านหน้า วัดอาม่าครับ ต้องขออภัยจริงๆ มีแต่รูปผมครับ ไม่มีวิวเปล่าๆเลย ทนดูนิดนึงนะครับ
ขออีกรูปครับ รูปนี้ผมค่อนข้างมั่นใจว่าหล่อก็เลยแถมให้ 555 ขอบคุณนะครับ ที่เห็นด้วยกับผม ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วย ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งครับ

ตรงข้ามวัดอาม่า ถ้าเดินข้ามถนนมาอีกฟากจะเห็นทางเดินแบบนี้นะครับ เบื้องหลังผมในภาพนี้จะเป็นฝั่งของประเทศจีน แผ่นดินใหญ่ครับ

เที่ยวเซนาโด สแควร์ ชมซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล กันนะครับ

ข้อดีของโรงแรม Ole London ที่เราพักอย่างหนึ่งคือสามารถเดินไปวัดอาม่า และเซนาโดสแควร์ได้โดยไม่เหนื่อยนักครับ หัวข้อนี้จะบอกวิธีเดินทางไปเซนาโดสแควร์นะครับ ซึ่งก็ใช้วิธีการเดินด้วยสองเท้าของเราเช่นเคยครับ (จริงๆแล้วนั่งรถเมล์สาย 10 ก็ได้ครับจากหน้าโรงแรมมาเก๊ามาสเตอร์ เยื้องๆกับปากซอยของโรงแรม Ole London ถ้ายังนึกภาพไม่ออกให้กลับไปอ่านหัวข้อแรกนะครับ วิธีเดินทางไปโรงแรม Ole London แต่ถ้านั่งรถเมล์ก็ครั้งละ 3.2 MOP$ เตรียมไปให้ครบนะครับ ก่อนขึ้น ไม่มีการทอน หรือจะใช้เงินฮ่องกงจ่ายก็ได้ครับ) ออกจากปากซอบโรงแรมก็เลี้ยวขวาตรงปากซอยทางเข้าโรงแรม ตรงตู้ไปรษณีย์ใหญ่สีแดงครับ เดินไปเรื่อยๆ ประมาณ 300 เมตร จะเจอแยกที่มีป้ายเขียนว่า Centro ซึ่งหมายถึงเข้าไปในใจกลางเมือง แล้วก็เลี้ยวขวาเข้าไปครับ เดินต่อไปอีกประมาณ 400 เมตร จะเจอ เซนาโดสแควร์ อยู่ด้านซ้ายมือ ก็ข้ามถนนเดินเข้าไปเลยครับ (มีไฟแดงให้คนข้ามครับ)


เซนาโดสแควร์ (Senado Square) ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญและจุดศูนย์กลางการท่องเที่ยวของมาเก๊าครับ ประกอบไปด้วยสถานที่สำคัญในเขตที่ได้รับการขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลก เป็นย่านการค้า ที่พัก ใช้เป็นสถานที่จัดงานต่างๆ อาคารที่ตั้งเรียงรายรอบๆจัตุรัสสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19-20 พื้นปูด้วยหินสีดำสลับขาวเป็นลายคลื่น โดยมีบ่อน้ำพุซึ่งมีลูกโลกโลหะตั้งอยู่ตรงกลางบ่อ เป็นความหมายว่าที่นี่คือรอยอดีตแห่งอารยธรรมตะวันตกกับตะวันออกที่หล่อหลอมรวมกันได้อย่างลงตัว


โบสถ์ที่เห็นสีเหลืองด้านบนนี้ ชื่อโบสถ์เซนต์ โดมินิค (St. Dominic's Church) สร้างขึ้นโดยบาทหลวงนิกายดอมินิกัน ชาวสเปน 3 ท่าน ที่อพยพมาจาก อะคาปุลโกประเทศเม็กซิโก ในปี ค.ศ.1587 นับเป็นโบสถ์เก่าแก่ในยุคแรกๆในประเทศจีน เดิมใช้แผ่นไม้กระดานในการก่อสร้าง ก่อนจะปรับปรุงให้เป็นอาคารคอนกรีตในรูปแบบสถาปัตยกรรมบารอคโคโลเนียล ในละแวกเดียวกันนี้ก็มีโบสถ์อีกหลายแห่ง แต่ไม่ค่อยได้ถ่ายเยอะ มัวแต่เดิน หาโบสถ์เซนต์ปอลอยู่ แต่ไม่ต้องกลัวครับ มาถึงเซนาโดสแควร์แล้ว มีป้ายบอกทุกแยกครับ หาไม่ยากเลย (ระหว่างทางก็จะเจอร้าน เซเว่น เจอร้านขาย ขนมทาร์ตไข่ จะซื้อเดินกินไปพลางๆก็ได้นะครับ ถ้าเป็นกล่องใหญ่ เขาจะขายกล่องละ 40 MOP$ ได้ 12 ชิ้นครับ ถ้าซื้อเป็นชิ้นก็ชิ้นละ 3.5 MOP$ ครับ คิดเป็นเงินไทยก็แพงนะ อันหนึ่งตั้ง 16 บาท โดยประมาณ ชิ้นเล็กนิดเดียวเอง แต่ไม่เป็นไรครับ ครั้งหนึ่งในชีวิต หรือไม่ก็กลับมากินที่ KFC บ้านเราก็ได้ครับ 555+++
ถึงแล้วครับซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล (Ruins of St. Paul's Church) คนเยอะจริงๆ เดินกันขาลากแล้ว ขอพักเหนื่อยแป๊บหนึ่งนะครับ ด้านหลังที่พวกเรานั่งอยู่เป็น จัตุรัสมีชื่อเรียกว่า คอมปานีออฟจีซัส (Company of Jesus Square) มีสิ่งที่น่าสนใจคือ รูปปั้นทองสำริดหญิงสาวกำลังส่งดอกบัวให้กับชายหนุ่ม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความปรารถนาดีระหว่างโปรตุเกสและประเทศจีน ซึ่งสร้างขึ้นในช่วงที่โปรตุเกสส่งมอบคืนมาเก๊าสู่แผ่นดินจีน
เตรียมตัวขึ้นไปข้างบนกันเลยนะครับ ที่จริงก็ไม่มีอะไรครับ ข้างหลังก็เป็นพื้นที่โล่งๆ แต่เราสามารถเดินขึ้นบันไดไปชมวิวข้างบนได้ครับ (บันไดอยู่ด้านหลังครับ) แต่เวลาเราขึ้นไป พื้นที่เรายืนอยู่จะมองเห็นข้างล่างครับ ไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนเป็นโรคกลัวความสูงครับ
โบสถ์เซต์ปอลสร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1602 - 1604 ประกอบไปด้วยส่วนหน้าของโบสถ์มาแตเดอี วิทยาลัยเซนต์ปอล และเมาท์ฟอร์เทรส เป็นกล่มอาคารที่สร้างขึ้นโดยพวกเยซูอิต มีลักษณะเป็นอะโครโปลิสของมาเก๊า ถูกไฟไหม้ทำลายในปี ค.ศ. 1835 การขุดค้นทางโบราณคดี ของซากปรักหักพังแห่งวิทยาลัยเซนต์ปอลคือร่องรอยหลักฐานมหาวิทยาลัยแบบตะวันตกแห่งแรกของตะวันออกไกล ปัจจุบันยังคงเหลือซุ้มประตูด้านหน้าเอาไว้ เป็นสัญลักษณ์ของมาเก๊า ครับผม
ชมโบสถ์เซนต์ปอลแล้วถ้าปวดฉี่ก็มีห้องน้ำบริการฟรี ด้านข้างนะครับ ถ้าหันหน้าเข้าโบส์ก็จะอยู่ด้านขวามือ อีกฟากถนนนะครับ หลังจากชมโบสถ์เซนต์ปอลเสร็จแล้ว เราก็มีแผนจะไปชมเจ้าแม่กวนอิมปางพระแม่มาเรีย และชมแสงสียามค่ำคืนของมาเก๊ากันครับ
อ่านบทความก่อนหน้า เที่ยววัดอาม่ากันดีกว่าครับ


ชมเจ้าแม่กวนอิม ปางพระแม่มาเรีย แวะชมแสงสียามค่ำคืนของมาเก๊า

จากโบสถ์เซนต์ปอล ถ้าหันหน้าเข้าโบสถ์จะเจอถนน Rua de Santo António อยู่ด้านซ้ายมือของเรานะครับ ให้เดินตามถนนนี้ไปด้านเหนือจนสุดทางจะเจออู่รถเมล์ต้นสาย สาย 17 ครับ ให้รอขึ้นจนกว่ารถจะออกครับ ค่าโดยสารคนละ 3.2 MOP$ เช่นเดิม ครับ เตรียมให้พร้อม ไม่มีการทอน นั่งรถบัสมา 15 -20 นาทีก็จะเจอ รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม ประดิษฐานอยู่บนใบบัว ครับ อยู่ฝั่งตรงข้ามกับด้านที่รถวิ่งมานะครับ สร้างเป็นอาคารยื่นออกไปในทะเลครับ

ภาพนี้ถ่ายด้านฝั่งตรงข้ามของรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมปางพระแม่มาเรีย นะครับ อยากให้เห็นว่ามีหมอกลง อากาศเย็นสบายมากๆครับ ปลายเดือน กุมภาพันธ์ ต้นเดือน มีนาคม

รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมปางพระแม่มาเรียครับ ประดิษฐานอยู่บนใบบัว ตั้งยื่นออกไปริมทะเลทางตอนใต้ของพื้นที่ NAPE เป็นองค์ที่โปรตุเกส สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ในโอกาสที่คืนมาเก๊าให้จีน มีความสูง 19.99 เมตร บ่งบอกว่าได้คืนแผ่นดินแห่งนี้เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ปี 1999 โดยหันพระพักตร์ไปทางกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน พระพักตร์เจ้าแม่กวนอิมองค์สีทองนี้จะละม้ายคล้ายกับหญิงสาวชาวตะวันตก คนมาเก๊าจึงเรียกเจ้าแม่กวนอิมองค์นี้ว่า เจ้าแม่กวนอิมปางพระแม่มาเรีย วันที่ไปชมพวกผมถถ่ายมาจากด้านหน้าของเจ้าแม่กวนอิมครับ เพราะว่า มาค่ำแล้ว เขาปิดไม่ให้เข้า (ตรงนี้ถ้าปวดฉี่ ก็มีห้องน้ำสาธารณะ ในสวนหย่อม ด้านหลังที่ผมยืนยู่ในรูปบนก่อนหน้านี้นะครับ อยู่ชั้นใต้ดิน ที่เขาทำไว้เป็นลานจอดรถ (หากันแทบตายกว่าจะเจอ เพราะมีป้ายเดียวบอกให้เข้าไปในสวนสาธารณะ ไม่คิดว่ามันจะอยู่ใต้ดิน)

หลังจากนั้นก็เดินย้อนกลับทางเดิมที่รถเมล์สาย 17 พาเรามา ก็จะถึงแยกที่ มีโรงแรม Grand Lisboa และ Casino Lisboa เพื่อชมแสงสียามค่ำคืนครับ รับรองว่าอลังการงานสร้างมาก ต้องมาเห็นกับตาครับ ถึงจะรู้สึกประทับใจ เพราะว่า กล้องผมมีขีดความสามารถจำกัดครับ ถ่ายมาสวยสุดได้แค่นี้เองครับ


ลอดอุโมงค์ใต้ดินข้ามมาอีกฟากก็จะเจอกับ คาสิโนอีกแห่ง ชื่อ WYNN ครับ ซี่งก็เป็นโรงแรมด้วยเหมือนกัน ที่นี่จะมีน้ำพุแสดงพร้อมดนตรีให้ยืนดูแบบเพลินๆบวกกับความตะลึงเพราะว่าสวยมากครับ สายน้ำที่พวยพุ่งขึ้นพร้อมกับแสงสี รับกับจังหวะเสียงดนตรี แล้วก็พุ่งขึ้นสูงมากๆครับ

ระหว่างอุโมงค์ข้ามถนนไปโรงแรม / คาสิโน Wynn เราสามารถนั่งชมบรรยากาศแสงสีได้ครับ ส่วนอีกด้านที่เรานั่งก็จะเห็นสะพานที่เชื่อมระหว่างฝั่งมาเก๊า กับ เกาะไทปาครับผม

ชมราตรีพอหอมปากหอมคอก็ขอกลับโรงแรมครับ เหนื่อยมาทั้งวัน การกลับโรงแรม ต้องเดินไปทางด้านหลังอีกฟากของโรงแรม Grand Lisboa จะมีป้ายรถเมล์ ให้รอสาย 10 กลับโรงแรม Ole London นะครับ

การเดินทางระหว่างมาเก๊ากับฮ่องกง

วันรุ่งขึ้นเราจะต้องเดินทางไปฮ่องกง เช็คเอ้าท์จากโรงแรม Ole London (อย่าลืมขอตังค์คืนที่เรา Deposite เอาไว้ตอนที่เราเช็คอินนะครับ) เสร็จก็สามารถนั่งรถบัสสาย 10 จากหน้าโรงแรมมาเก๊ามาสเตอร์ ไปได้ครับสายเดียวถึง ค่าโดยสาร 3.2 MOP$ เหมือนเดิมครับ เตรียมเหรียญให้พร้อมไม่มีการทอน (จ่ายเงินฮ่องกงก็ได้นะครัย) แต่ว่าผมมีเวลาเหลือเฟือก็เลยนั่งรถฟรีของเวเนเชี่ยนเหมือนเดิมครับ ข้ามถนนมารอรถฟรีของเดอะเวเนเชี่ยนที่หน้าโรงแรมมาเก๊ามาสเตอร์ครับ แล้วก็ลงเดอะเวเนเชี่ยน แวะเข้าห้องน้ำในเดอะเวเนเชี่ยน แล้วก็ออกมาที่ท่ารถของเดอะเวเนเชี่ยนที่เดิม แต่จะต้องเดินหาสายที่ไป Macau HK Ferry Pier ครับ ซึ่งจะจอดอยู่คนละฟากกับคิวรถสายที่เรานั่งมาจาก Yuet Tung Pier นะครับ ถึงป้ายรถหน้าท่าเรือแล้วก็ต้องลอดอุโมงค์ข้ามถนนไปยังอาคารผู้โดยสารเรือเฟอรี่นะครับ ซื้อตั๋วที่ชั้นสอง เป็นของ TurboJet พวกผมเดินทางวันอาทิย์ตั๋วก็เลยแพงกว่าวันธรรมดา (วันธรรมดา 142 HK$ ส่วนวัน เสาร์อาทิตย์ ตั๋วจะอยู่ที่ราคา 154 HK$ ถ้าเดินทางมาจากฮ่องกง วันธรรมดาตั๋วราคา 134 HK$ วันเสาร์อาทิตย์ 146 HK$) ซื้อตั๋วเสร็จก็ผ่านตม.เข้าไปข้างใน รอให้เขาเรียกขึ้นเรือ ครับ (ตั๋วที่เราซื้อเขาจะกำหนดหมายเลขที่นั่งให้เราด้วย ไม่ใช่ใครจะนั่งตรงไหนก็ได้นะครับ) ที่นั่งในเรือก็จะเป็นอย่างที่เห็นครับ นั่งประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงฮ่องกงแล้วครับ

รูปด้านล่างคือโฉมหน้าของ TurboJet ที่เรานั่งมาครับ ไม่มีเวลาถ่ายเลย มัวแต่แย่งกันขึ้น - ลง เรือ เลยถ่ายมาห้ได้ดีที่สุดแค่นี้เองครับ ผ่านตม.ที่ฮ่องกงเสร็จก็เตรียมตัวเดินทางเข้าเมืองไปเช็คอินที่โรงแรมกันครับ เราได้จองโรงแรมกับ อโกด้า เอาไว้ครับ ชื่อโรงแรม Oriental Lander Hotel วิธีการไปโรงแรมนี้ก็ไม่ยากเลยครับ

ออกจากอาคารขาเข้าเสร็จก็เดินหาทางที่จะไปรถไฟใต้ดิน MTR ครับ หาชั้นล่างๆนะครับ มันอยู่ใต้ดินของห้าง Shun Tak ซึ่งต่อเชื่อมกับอาคารขาเข้าของท่าเรือ พอถึงสถานีรถไฟใต้ดิน MTR แล้วก็ให้ซื้อบัตร Octopus นะครับ บัตรเดียว สามารถใช้ร่วมกันได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น MTR, รถบัส, เรือสตาร์เฟอรี่ข้ามฟากระหว่างฝั่งฮ่องกงกับฝั่งเกาลูน หรือแม้แต่ซื้อของในเซเว่นอีเลฟเว่นก็ยังได้ครับ ซื้อครั้งแรก 150 HK$ แต่จะใช้ได้จริงเพียง 100 HK$ ที่เหลือ 50HK$ เป็นค่ามัดจำ และจะคืนให้ตอนไป Refund เงินคืน แต่จะโดนหักไป 7HK$ ถ้าคืนก่อน 3 เดือนหลังจากซื้อบัตร (ยังไงก็โดนหักอยู่ดี ใครจะไปอยู่ตั้งสามเดือน ยกเว้นว่าไปเที่ยวใหม่อีกรอบครับ 555+++) ได้บัตรมาแล้วก็เข้าไปในสถานีเลยครับ สายที่เรานั่งนี้จะเป็น MTR สายสีน้ำเงิน สถานีที่เราขึ้นเป็นต้นสายครับคือสถานี Sheung Wan นั่งไปแค่สถานีเดียวแล้วลงที่สถานี่ถัดไปที่สถานี Central เพื่อไปต่อสายสีแดงครับ (หรือจะลงสถานีถัดไปอีกก็ได้ที่ Admieralty ซึ่งสามารถต่อสายสีแดงได้เช่นเดียวกันครับ) พอต่อสายสีแดงแล้วก็ให้ลงที่สถานี Prince Edward นะครับ เดินออกประตู C2 ออกมาก็ให้เดินขึ้นเหนือไปเรื่อยๆครับ ข้ามแยกประมาณ 3 แยก (ไม่ต้องข้ามไปอีกฟากถนนนะครับ เดินฝั่งเดียวกับทางออก C2 ของสถานี MTR อย่างเดียวนะครับ) ก็จะเจอถนน Tong Mei ครับ เลี้ยวขวาเข้าถนนนี้ตรงมุมตึก เดินต่อไป 100 เมตรก็ถึงโรงแรม Oriental Lander Hotel แล้วครับเช็คอินได้เลย (เวลาเช็คอิน กฎของโรงแรมนี้ต้องมี Deposite เป็นเงินสด 200 HK$ ต่อห้อง หรือให้บัตรเครดิตเขาก็ได้ครับ และเขาจะคืนเราตอน Check-out) วันที่พวกผมไปถึง ยังไม่บ่าย 2 เลย ห้องที่จองไว้ 2 ห้องก็เสร็จแค่ห้องเดียว ก็เลยเอาของไปเก็บห้องเดียวก่อน แล้วก็ออกเดินเที่ยวฮ่องกงเลยครับ

แต่ก่อนที่เราจะเที่ยว กองทัพต้องเดิด้วยท้องครับ มือแรกในฮ่องกงฝากท้องไว้กับก๋วยเตี๋ยวในร้านริมถนน Portland Street (เป็นแยกถนนที่ติดกับทางออกสถานี MTR ประตู C2 ครับ) อร่อยดี หรือเพราะหิวก็ไม่รู้ครับ

บทความถัดไป เราจะไปเที่ยวเดอะพีคกันนะครับ ไปถ่ายรูปกับพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งมาดามทุสโซ่
บทความก่อนหน้า ชมเจ้าแม่กวนอิม ปางพระแม่มาเรีย แวะชมแสงสียามค่ำคืนของมาเก๊า

ไปเที่ยวเดอะพีคกันดีกว่าครับ

หลังจากเดินออกมาจากโรงแรม Oriental Lander หลังจากเช็คอินแล้ว เราก็เดินมุ่งหน้าไปยังสถานี MTR ประตู C2 ครับ (ก่อนเดินทางก็แวะกินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านบนถนน Portland ที่เป็นแยกถนนก่อนถึงปากทางเข้า C2 ของสถานี Prince Edward ครับ) เพื่อเดินทางไปเดอะพีคซึ่งตั้งอยู่ฝั่งฮ่องกงครับ ให้นั่ง MTR ไปลงสถานี Central เดินออกประตู K หรือ J2 เดินไปตามถนน Garden Road จนถึงสถานีรถราง Peak Tram ครับ (หรือ ลงสถานี MTR Admiralty แล้วเดินออกประตู B เดินตามถนน Cotton Tree Drive) เดินประมาณ 5-10 นาที ก็จะถึง สถานีรถราง Lower Peak Tram Terminus แล้วก็ซื้อตั๋วรถรางครับ แต่เขาจะขายพร้อมแพคเกจ (แล้วแต่เราจะเลือก) ที่รวมค่าขึ้นรถราง ค่าชมพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งมาดามทุสโซ่ แล้วก็ชั้นดาดฟ้าที่เรียกว่า Sky Terrace แพคเกจนี้ 200 HK$ ต่อคนครับ

รูปนนี้เป็นอนุสาวรีย์ Sir Thomas Jackson อดีตผู้จัดการธนาคารฮ่องกงเซี่งไฮ้ (HSBC) ตั้งอยู่ที่กลางจัตุรัส Statue Square ถึงสถานีรถราง Lower Peak Tram Terminus แล้วครับ เสร็จแล้วก็เดินไปซื้อตั๋วครับ

มีหุ่นเฉินหลง ยืนให้ถ่ายรูปตรงที่ซื้อตั๋วด้วยครับ แต่เขาไม่ให้เราถ่ายเอง ถ้าจะถ่ายเขาจะถ่ายให้แล้วต้องซื้อรูปเขา แพงด้วยครับ

โฉมหน้าของรถราง Peak Tram ที่พาเราขึ้นมาบนเดอะพีคเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ

ขึ้นมาแล้วก็เข้าชมพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งมาดามทุสโซ่ได้เลยครับ เลือกถ่ายรูปกับดาราที่คุณชื่นชอบได้เลยครับ ผมถ่ายกับลุงเอ๊ดดี้ เมอร์ฟี่ก่อนเพราะเราดำเหมือนกันครับ เป็นพี่น้องกัน แต่ผมหล่อกว่า 555+++ (ต้องขออภัยสำหรับท่านที่ไม่เห็นด้วยกับผมครับ 555++อีกรอบ)

กัวฟู่เฉิง ดาราคนโปรดผมเลยครับสมัยเด็กๆ ดูนะครับผมทำท่าเหมือนพี่เขาหรือเปล่า อิๆๆ
ผมได้ถ่ายรูปคู่กับท่านประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาด้วย เท่ห์จริงๆ

ราชวงศ์อังกฤษ ครับผม
มาดอนน่าครับ และอีกเยอะแยะมากมาย ขี้เกียจเอามาลงครับ อีกอย่างเดี๋ยวจะเบื่อและหมั่นไส้ผมไปซะก่อนนะ ก่อนออกจากพิพิธภัณฑ์มีการให้เดินผ่านประมาณว่าบ้านฝีสิงด้วย มีเจ้าหน้าที่มาตามหลอกหลอนให้ตกใจเล่นครับ ฮาจริงๆ ได้ยินแต่เสียงกรี๊ดของสาวๆ ที่อยู่ด้านหน้าและด้านหลังเรา

หลังจากนั้นก็ขั้นไปบนชั้นดาดฟ้าครับ (เราขั้นได้เลย เพราะตั๋วที่เราซื้อรวมทุกอย่างแล้ว ถ้ามาซื้อแยกก็ต้องจ่ายค่าขึ้นดาดฟ้า Sky Terrace อีกคนละ 20 HK$ ) แต่เราไปกลางคืน หมอกลงจัดมาก และยังเป็นปลายฤดูหนาวช่วงต้นเดือนมีนาคม หมอกก็เลยเยอะ มองวิวไม่เห็นเลยครับเห็นแต่ไฟเป็นดวงๆกับเงาตึกเบื้องล่างรางๆ แต่บบรรยากาศ เย็นสบายมากครับ น่านอนเล่นมาก แต่ถ้าอยู่นานๆก็อาจจะหนาวเหมือนกันครับ

หลังจากนั้นเราก็เข้าคิวลงจากเดอะพีคกลับไปโรงแรมเพราะมืดค่ำแล้ว แต่สมาชิกอยากนั่งเรือสตาร์เฟอรี่เลยจัดให้ ครับ ระหว่างล่องเรือก็ได้ชมแสงสี Symphony of Light ที่บรรดาตึกต่างๆบนฝั่งฮ่องกงพร้อมใจเปิดให้ชมกันในยามค่ำคืน ก่อนจะถึงฝั่งเกาลูน ที่จิมซาจุ่ย แวะถ่ายรูปกับหอนาฬิกาก่อนหาสถานี MTR Tsim Sha Tsui เดินทางกลับโรงแรม Oriental Lander ครับ

บทความถัดไป เที่ยววัดพระใหญ่โป๋หลิน และฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ครับ
บทความก่อนหน้า การเดินทางระหว่างมาเก๊ากับฮ่องกง